วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความรุ้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

                                        ความรุ้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

คลิ๊กดูรูปคลิ๊กดูรูปสิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาและไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ (เกษม, 2540) จากคำจำกัดความดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า สิ่งแวดล้อม คือ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่ คำว่า "ตัวเรา" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตัวมนุษย์เราเท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้ว ตัวเรานั้นเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการศึกษา/รู้ เช่น ตัวเราอาจจะเป็นดิน ถ้ากล่าวถึงสิ่งแวดล้อมดิน หรืออาจจะเป็นน้ำ ถ้ากล่าวถึงสิ่งแวดล้อมน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีข้อสงสัยว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเรามีรัศมีจำกัดมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าสิ่งต่างที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้มีขอบเขตจำกัด มันอาจอยู่ใกล้หรือไกลตัวเราก็ได้ จะมีบทบาทหรือมีส่วนได้ส่วนเสียต่อตัวเราอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งนั้นๆ เช่น โศกนาฏกรรมตึกเวิร์ดเทรด ซึ่งตัวมันอยู่ถึงสหรัฐอเมริกา แต่มีผลถึงประเทศไทยได้ในเรื่องของเศรษกิจ เป็นต้น





[แก้ไข] ประเภทของสิ่งแวดล้อม


จากความหมายของสิ่งแวดล้อมดังกล่าวสามารถแบ่งสิ่งแวดล้อมได้เป็น 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural environment) และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-Mode Environment)


[แก้ไข] 1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ( Natural Environment)


แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต) และสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต


1. 1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) แบ่งได้ดังนี้


1.1.1 บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึงอากาศที่ห่อหุ้มโลก ประกอบด้วย กา๙ชนิดต่างๆ เช่น โอโซน ไนโตรเจน ออกซิเจน อาร์กอน คาร์บอนไดออกไซด์ ฝุ่นละออง และไอน้ำ


1.1.2 อุทกภาค (Hydrosphere) หมายถึงส่วนที่เป็นน้ำทั้งหมดของพื้นผิวโลก ได้แก่ มหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ฯลฯ


1.1.3 ธรณีภาค หรือ เปลือกโลก(Lithosphere) หมายถึง ส่วนของโลกที่เป็นของแข็งห่อหุ้มอยู่รอบนอกสุด ของโลกประกอบด้วยหินและดิน





1.2 สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต (Biotic Environment) ได้แก่ พืช สัตว์ และมนุษย์


[แก้ไข] 2 . สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น(Man-Mode Environment)


แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้


2.1 สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม (Concrete Environment) ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน โรงงาน วัด


2.2 สิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรม (Abstract Environment)ได้แก่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมายระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง เป็นต้น

ทีมาของข้อมูล:http://www.panyathai.or.th/


องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ


สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีองค์ประกอบ 3 ประการดังนี้

1. ลักษณะภูมิประเทศ

2. ลักษณะภูมิอากาศ

3. ทรัพยากรธรรมชาติ

ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ

1. พลังงานภายในเปลือกโลก ทำให้เปลือกโลกผันแปร บีบอัดให้ยกตัวสูงขึ้น กลายเป็นภูเขาที่ราบสูง หรือทรุดต่ำลง เช่น เหว แอ่งที่ราบ

2. ตัวกระทำทางธรรมชาติภายนอกเปลือกโลก ทำให้เปลือกโลกเกิดการสึกกร่อนพังทลายหรือทับถม ได้แก่ ลม กระแสน้ำ ธารน้ำแข็ง

3. การกระทำของมนุษย์ เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อการชลประทาน การตัดถนนเข้าไปในป่า ทำให้ลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่นั้นๆเปลี่ยนไปจากเดิม


ความสำคัญของลักษณะภูมิประเทศ

1. ความสำคัญต่อมนุษย์ ลักษณะภูมิประเทศมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพของมนุษย์ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำ

2. ความสำคัญต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ย่อมมีอิทธิพลต่อลักษณะภูมิอากาศของท้องถิ่น เช่น ทำให้เกิดเขตเงาฝน

3. ความสำคัญต่อทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เขตเทือกเขาสูง ย่อมอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ ป่าไม้และสัตว์ป่า

ประเภทของลักษณะภูมิประเทศ

ลักษณะภูมิประเทศจำแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้

1. ลักษณะภูมิประเทศอย่างใหญ่ เห็นได้ชัดและเกิดในอาณาบริเวณที่กว้างขวาง เป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวภายในของเปลือกโลก ทำให้เปลือกโลกยกตัวขึ้นสูงหรือทรุดต่ำลง โดยคงลักษณะเดิมไว้นานๆ เช่น ที่ราบ ที่ราบสูง เนินเขา และภูเขา

2. ลักษณะภูมิประเทศอย่างย่อย มีอาณาบริเวณไม่กว้างนัก อาจเปลี่ยนแปลงรูปได้ มักเกิดจากการกระทำของธารน้ำแข็ง กระแสลม คลื่น เช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ อ่าว แหลม น้ำตก


ประเภทของที่ราบ แบ่งตามลักษณะของการเกิด


1. ที่ราบดินตะกอน พบตามสองฝั่งของแม่น้ำ เกิดจาการทับถมของดินตะกอนที่น้ำพัดพา

2. ที่ราบน้ำท่วมถึง เป็นที่ราบลุ่มในบริเวณแม่น้ำ มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน เกิดจากการทับถมของดินตะกอนหรือวัสดุน้ำพา

3. ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยม เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำบริเวณปากแม่น้ำ เกิดจากการทับถมของโคลนตะกอนวัสดุน้ำพาจนกลายเป็นที่ราบรูปพัด

4. ลานตะพักลำน้ำ คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำอีกประเภทหนึ่ง แต่อยู่ห่างจากสองฝั่งแม่น้ำออกไป น้ำท่วมไม่ถึง ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ บางที่เรียกว่า ที่ราบขั้นบันได

ความสำคัญของภูมิอากาศ


1. ความสำคัญที่มีต่อลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศทำให้ท้องถิ่นมีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกัน

2. ความสำคัญที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ภูมิอากาศร้อนชื้น ฝนชุก จะมีทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าบางชนิดชุกชุม

3. ความสำคัญที่มีต่อมนุษย์ ภูมิอากาศย่อมมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย บ้านเรือน


ปัจจัยที่มำให้ภูมิอากาศของท้องถิ่นต่างๆมีความแตกต่างกัน

1. ที่ตั้ง คือ ละติจูดของพื้นที่

2. ลักษณะภูมิประเทศ คือ ความสูงของพื้นที่

3. ทิศทางลมประจำ เช่น ลมประจำปี

4. หย่อมความกดอากาศ

5. กระแสน้ำในมหาสมุทร

ที่ตั้ง หรือ ละติจูดของพื้นที่

ละติจูดของพื้นที่มีผลต่อปริมาณความร้อนที่ได้รับจากแสงอาทิตย์ ดังนี้


1. เขตละติจูดต่ำ ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปี จึงมีอากาศร้อน

2. เขตละติจูดสูง ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ความร้อนที่ได้รับมีน้อย จึงเป็นเขตอากาศหนาวเย็น

3. เขตละติจูดปานกลาง ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากน้อยตามฤดูกาล จึงมีอากาศอบอุ่น


ความอยู่ใกล้ หรือไกลทะเล


มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น ดังนี้


1.พื้นที่ที่อยู่ใกล้ทะเล จะได้รับอิทธิพลจากพื้นน้ำ ทำให้ฝนตกมากและอากาศเย็น

2.พื้นที่ที่อยู่ไกลทะเล เช่น อยู่กลางทวีป อากาศจะแห้งแล้ง

ความสูงของพื้นที่ มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น

พื้นที่ยิ่งสูงอากาศยิ่งหนาวเย็น เนื่องจากความร้อนที่ผิวพื้นโลกได้รับจากดวงอาทิตย์จะแผ่สะท้อนกลับสู่บรรยากาศ ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้พื้นผิวโลกจึงมีความร้อนมาก


การขวางกั้นของเทือกเขาสูง


มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศของท้องถิ่น ถ้าเทือกเขาสูง วางตัวกั้นทิศทางของลมประจำ เช่น ลมมรสุมฤดูฝน จะเป็นผลให้ด้านหน้าของเทือกเขาได้รับความชุ่มชื้น มีฝนตกชุก ส่วนด้านหลังของเทือกเขาเป็นเขตอับลมฝนแห้งแล้ง ที่เรียกกันว่า เขตเงาฝน


การจำแนกเขตภูมิอากาศโลกตามวิธีการของเคิปเปน


เคิปเปน นักภูมิอากาศวิทยาชาวออสเตรีย ได้กำหนดประเภทภูมิอากาศของโลกออกเป็น 6 ประเภท โดยกำหนดสัญลักษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ดังนี้


1. แบบร้อนชื้น (a) มีอุณหภูมิสูงตลอดทั้งปี ฝนตกชุก พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าดงดิบ


2. แบบแห้งแล้ง (b) มีอุณหภูมิสูง แห้งแล้ง มีฝนตกน้อยมาก พืชพรรณเป็นพืชทะเลทราย


3. แบบอบอุ่น หรือชื้น อุณหภูมิปานกลาง (c) อากาศอบอุ่น อุณหภูมิปานกลาง พืชพรรณเป็นป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่น


4. แบบหนาวเย็น อุณหภูมิต่ำ (d) อากาศหนาวเย็น อุณหภูมิต่ำ พืชพรรณเป็นป่าผลัดใบเขตอบอุ่น ป่าเขตหนาว และทุ่งหญ้าแพรี


5. แบบขั้วโลก (e) อากาศหนาวเย็นมากที่สุด อุณหภูมิต่ำมาก พืชพรรณเป็นหญ้ามอส และตะไคร่น้ำ


6. แบบภูเขาสูง (h) เป็นลักษณะภูมิอากาศแบบพิเศษ พบในเขตภูเขาสูง มีภูมิอากาศหลายแบบทั้ง a, c, d อยู่ร่วมกันตามระดับความสูงของภูเขา ยิ่งสูงอากาศยิ่งหนาว พืชพรรณธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงของพื้นที่


หลักเกณฑ์การแบ่งเขตภูมิอากาศของเคิปเปน


เคิปเปน มีหลักเกณฑ์การพิจารณา 3 ประการ ดังนี้


1. อุณหภูมิของอากาศในท้องถิ่น


2. ปริมาณฝนของท้องถิ่น


3. ลักษณะพืชพรรณของท้องถิ่น


ทรัพยากรธรรมชาติ


ทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ มี 4 ประเภท ดังนี้


1. ดิน 2. น้ำ 3. แร่ธาตุ 4. ป่าไม้


ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


1. การเพิ่มของจำนวนประชากร ทำให้การบริโภคทรัพยากรสิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว


2. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เลื่อยไฟฟ้าตัดไม้ในป่า


3. การบริโภคฟุ่มเฟือย ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม สนับสนุนให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญสิ้นอย่างรวดเร็ว


ปัจจัยที่ทำให้ดินในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน


ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วย อนินทรีย์วัตถุ มีร้อยละ 45 อินทรีย์วัตถุ มีร้อยละ 5 น้ำร้อยละ 25 และอากาศร้อยละ 25 ปัจจัยที่ทำให้ดินในแต่ละท้องถิ่นมีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกัน คือ


1. ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลาดชันมาก การสึกกร่อนพังทลายของดินมีมาก


2. ลักษณะภูมิอากาศ ในเขตร้อนชื้น ฝนตกชุก การชะล้างของดินและการผุพังสลายตัวของแร่ธาตุ ซากพืชซากสัตว์ในดินจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพเร็ว


3. สัตว์มีชีวิตในดิน เช่น ไส้เดือน จุลินทรีย์ในดิน จะช่วยย่อยซากพืชซากสัตว์ ทำให้ดินได้รับฮิวมัสเพิ่มมากขึ้น


ปัจจัยสำคัญที่ควบคุมความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำ


1. น้ำบนดิน ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง


2. น้ำใต้ดิน หมายถึง น้ำบาดาล ปริมาณน้ำใต้ดินจะมีมากน้อย ขึ้นกับ


- ปริมาณฝนของพื้นที่นั้นๆ


- ความสามารถในการเก็บกักน้ำของชั้นหินใต้พื้นดิน


ประเภทของแร่ธาตุ


1. แร่โลหะ คือแร่ที่ประกอบด้วยธาตุโลหะ มีความวาวให้สีผงเป็นสีแก่ ได้แก่ xxxีบุก ทังสเตน พลวง


2. แร่อโลหะ คือแร่ที่ไม่มีความวาวแบบโลหะ ให้สีผงเป็นสีอ่อน ได้แก่ ดินขาว หินปูน หินอ่อน


3. แร่เชื้อเพลิง คือแร่ที่มีสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน ทำเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ


4. แร่นิวเคลียร์ คือแร่ที่นำมาใช้ในกิจการพลังงานปรมาณู เช่น ยูเรเนียม


การจำแนกประเภทของป่าไม้


1. ป่าไม้ไม่ผลัดใบ มีใบเขียวตลอดปี พบในเขตฝนชุก มี 4 ชนิด ดังนี้


1.1 ป่าดงดิบ มีลักษณะเป็นป่ารกทึบ


1.2 ป่าดิบเขา มีลักษณะคล้ายป่าดงดิบ


1.3 ป่าสนเขา เป็นไม้สน ขึ้นในเขตภูเขาสูง


1.4 ป่าชายเลน ขึ้นตามชายฝั่งทะเลที่มีหาดเลน บางที่เรียกว่า ป่าเลนน้ำเค็ม


2. ป่าไม้ผลัดใบเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบในฤดูแล้ง มี 2 ชนิด ดังนี้


2.1 ป่าเบญจพรรณ เป็นป่าโปร่ง ผลัดใบในฤดูแล้ง


2.2 ป่าแดง เป็นป่าโปร่ง มีทุ่งหญ้าสลับทั่วไป

ที่มาของข้อมูล:http://www.bbc07geo.ob.tc/58.htm


สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม


1. การเพิ่มของประชากร
ปัจจุบันการเพิ่มของประชากรโดยเฉลี่ยทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น การที่ประชากรเพิ่มจำนวนมากขึ้น หมายถึง ความต้องการในการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิตขั้นต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย (สุพจน์ แสงมณี, 2546) ทำให้เกิดผลต่าง ๆ ตามมา ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ทำกินทางการเกษตร จนมีการบุกรุกทำลายป่า ทำให้เกิดเสียสมดุลทางธรรมชาติ อีกทั้งความต้องการในการใช้ ้ทรัพยากรอื่น ๆ มากขึ้นเช่น น้ำ แร่ธาตุ พลังงานอากาศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันพบว่ามีอัตราการเพิ่มของประชากรมากขึ้นในแต่ละปี เป็นสาเหตุสำคัญที่ที่ทำให้การใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นและเป็นผลให้จำนวนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา


2. การขยายตัวของเมือง
การขยายตัวของชุมชนหรือเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากการขยายตัวของ เมืองอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดปัญหาการขาดการวางแผนการวางผังเมืองไว้ล่วงหน้า ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกทั้งการขยายตัว ของเมือง ปกติแล้วจะเกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมเกิดขึ้นด้วย และในขั้นตอนต่าง ๆ ของโรงงานอุตสาหกรรมถ้าหากขาดการวางแผน และการควบคุมที่ดีก็จะส่งผลต่าง ๆ ต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย


3. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำมาใช้ในทางการผลิตด้านการเกษตร โดยการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงทำให้เกิดการตกค้าง ของสารเหล่านี้ในดิน และอาจขยายไปสู่แหล่งน้ำและแหล่งต่าง ๆ ในระบบนิเวศ จนเกิดผลต่าง ๆ ตามมา รวมถึงเกิดการสะสม ในสายใยอาหารทางด้านอุตสาหกรรม สารที่ใช้ในกระบวนการผลิตและสารที่เป็นผลเกิดจากกระบวนการผลิต เช่น ตะกั่ว ปรอท
สารหนู เป็นต้น จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและมีขั้นตอนการกำจัดส่วนที่ตกค้าง ( Residuals ) ให้หมดสิ้นไปได้ยาก และจะเกิดผลกระทบต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย


4. การสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
การสร้างถนน อ่างเก็บน้ำ เขื่อน นับว่าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ทรัพยากรหลัก เช่นป่าไม้ถูกทำลาย ทรัพยากรดิน น้ำ สัตว์ป่าจึงพลอย ได้รับ ผลกระทบกระเทือนตามไปด้วย ทำให้มนุษย์เข้าสู่พื้นที่ป่าที่เหลือได้ง่ายกว่าเดิม เนื่องจากการไปมาสะดวก การทำลายจึง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อป่าเสื่อมโทรมหรือหมดไป ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าถูกทำลาย โอกาสถูกล่ามีมากขึ้น สัตว์บางชนิดหาอาหาร เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุดก็สูญพันธุ์ไป เป็นต้น


5. การกีฬา
ส่วนใหญ่เกิดกับทรัพยากรสัตว์ป่า เช่นการยิงนก ตกปลา และการล่าสัตว์เป็นต้น ถ้าทำเพื่อการกีฬาที่แท้จริงก็ไม่มีปัญหา เรื่องการ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากนัก แต่เมื่อใดที่เป็นการแข่งขันเพื่อทำสถิติด้านจำนวน ขนาดอาวุธร้ายแรงและทันสมัย จะถูกนำมา ใช้มากยิ่งขึ้น สัตว์ป่าที่ได้มาก็จะนำส่วนหนึ่งของที่ได้หรือบางส่วนของร่างกายไปเป็นอาหาร หรือเครื่องใช้เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะทิ้ง ไว้ในป่า ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มกับการสูญเสียชีวิตและพันธุกรรมของสัตว์ป่า


6. การสงคราม
ก่อให้เกิดการกระตุ้นให้นำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาใช้มากขึ้น การนำทรัพยากรแร่ธาตุมาใช้เพื่อการผลิตอาวุธและเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งสุดท้ายก็ถูกทำลายไป บางครั้งต้องเร่งขุดเจาะน้ำมันดิบเพื่อขาย แล้วนำเงินตราไปซื้ออาวุธที่ทันสมัยมี ประสิทธิภาพการทำลายสูง มาต่อสู้ซึ่งกันและกัน ผลของสงครามก็คือการสูญเสียทั้งสองฝ่ายในด้านทรัพยากรมนุษย์หรือทรัพยากรอื่น ๆ เช่นการทิ้งระเบิด ทำลายชีวิตและทรัพยากรของมนุษย์ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติการทำลายบ่อน้ำมันของอีรักในปี พ . ศ . 2536 ทำให้สูญเสียทรัพยากร ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นล้าน ๆ ปีในการเกิดไปอย่างน่าเสียดายและยังส่งผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเกือบทั่วโลก


7. ความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หลาย ๆ ครั้งที่คนเราทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะความไม่รู้ถึงสาเหตุและผลกระทบ ขาดข้อมูลความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำให้เราเข้าถึง และสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน ในขณะที่นักอนุรักษ์นึกถึงสิ่งแวดล้อมในรูปของระบบนิเวศของธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่า แต่ภาคอุตสาหกรรมกลับนึกถึงวัตถุดิบที่เป็นปัจจัยในการผลิตเป็นต้นทุนนักเศรษฐศาสตร์ จะนึกถึงทรัพยากรที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า ชาวนาจะนึกถึงฝน ภาคท่องเที่ยวนึกถึงเงิน การทำการเกษตรที่ไม่ถูกต้องของเกษตรกร ฯลฯ สังคมยังขาดความเข้าใจถึง สิ่งแวดล้อมในลักษณะรวมที่เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เมื่อเกิดความเสียหายที่ใดที่หนึ่งก็จะมีผลกระทบแก่กันและ กันบางครั้งลืมไปว่า ความสนุกชั่วครู่ชั่วยามของตนเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นธรรมชาติและความงดงามของสถานที่

ที่มาของข้อมูล:http://www.adeq.or.th/web/webboard/index.php?topic=107.0



ผลที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม
ผลสืบเนื่องอันเกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เนื่องจาก มีการใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่ประหยัด อาทิ ป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ขาดแคลนน้ำ ภาวะมลพิษ (Pollution) เช่น มลพิษในน้ำ ในอากาศและเสียง มลพิษในอาหาร สารเคมี อันเป็นผลมาจากการเร่งรัดทางด้านอุตสาหกรรมนั่นเอง
กาลเวลาผ่านมาจนกระทั้งถึงระยะเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ผ่านมา (ระยะสิบปี) ซึ่งเรียกกันว่า "ทศวรรษแห่งการพัฒนา" นั้น ปรากฎว่าได้เกิดมีปัญหารุนแรงด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในบางส่วนของโลกและปัญหาดังกล่าวนี้ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันในทุกประเทศทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เช่น
1.ปัญหาทางด้านภาวะมลพิษที่เกี่ยวกับน้ำ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสลายและหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ ป่าไม้ พืช สัตว์ ทั้งที่เป็นอาหารและที่ควรจะอนุรักษ์ไว้เพื่อการศึกษา ปัญหาที่เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและชุมชนของมนุษย์ เช่น การวางผังเมืองและชุมชนไม่ ถูกต้อง ทำให้เกิดการแออัดยัดเยียด ใช้ทรัพยากรผิดประเภทและลักษณะ ตลอดจนปัญหาแหล่งเสื่อมโทรมและปัญหาจากของเหลือทิ้งอันได้แก่มูลฝอย
2. ปัญหามลพิษที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมีมากมาย มิใช่แต่เพียงมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ หรือทางดินที่เรารู้จักกันดีเท่านั้น การที่สภาวะแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นของการพัฒนาบ้านเมือง ซึ่งจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้นั้น หากมิได้มีการวางแผนอย่างถี่ถ้วนรัดกุม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอาจกลายเป็นปัญหามลพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้คนได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับเมืองเรา คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกรุงเทพมหานครได้ก่อให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมอย่างมากมาย จนกระทั่งบางเรื่องอาจลุกลามใหญ่โตจนไม่สามารถแก้ไขได้ในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเรา การที่เมืองขยายออกไป ผืนดินที่ใช้ทางการเกษตรที่ดีก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับกลายเป็นแหล่งชุมชน คลองเพื่อการระบายน้ำถูกเปลี่ยนแปลงเป็นถนนเพื่อการคมนาคม แอ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำถูกขจัดให้หมดไปด้วยสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อถึงหน้าน้ำหรือเมื่อฝนตกใหญ่ กรุงเทพมหานครจะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกครั้ง น้ำท่วมก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมาย เริ่มต้นด้วยโรคน้ำกัดเท้า และต่อไปก็อาจเกิดโรคระบาดได้
ปัญหาขยะก็เป็นมลพิษที่สำคัญอีกประการหนึ่ง หากเมืองใหญ่ขึ้น ผู้คนมากขึ้น ของทิ้งก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา การเก็บขยะให้หมดจึงเป็นปัญหาสำคัญของเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ หากเก็บขยะไปไม่หมด ขยะก็จะสะสมหมักหมมอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นที่เพาะเชื้อโรค และแพร่เชื้อโรค ทำให้เกิดลักษณะเสื่อมโทรมสกปรก นอกจากนี้ ขยะยังทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ เมื่อมีผู้ทิ้งขยะลงไปในน้ำ การเน่าเสียก็จะเกิดขึ้นในแหล่งนั้น ๆ การจราจรที่แออัดนอกจากเกิดปัญหามลพิษทางอากาศแล้วยังมีปัญหาในเรื่องเสียงติดตามมาด้วย เพราะยวดยานที่ผ่านไปมาทำให้เกิดเสียงดังและความสะเทือน เสียงที่ดังเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ บางคนดัดแปลงยานพาหนะของตนไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ทำให้เสียงดังกว่าปกติ โดยนิยมกันว่าเสียงที่ดังมาก ๆ นั้นเป็นของโก้เก๋ คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่าตนกำลังทำอันตรายให้เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น เสียงที่ดังเกินขอบเขตจะทำให้เกิดอาการทางประสาท ซึ่งอาจแสดงออกเป็นอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือทางอารมณ์ เช่น เกิดอาการหงุดหงิด ใจร้อนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เป็นต้น นอกจากนี้เสียงที่ดังเกินไปอาจทำให้เกิดความเสื่อมกับอวัยวะในการรับเสียงอีกด้วย ผู้ที่ฟังเสียงดังเกินขอบเขตมาก ๆ จะมีลักษณะหูเสื่อม ทำให้การได้ยินเสื่อมลง เป็นต้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือปัญหาสารมลพิษที่แปลกปลอมมา ในสิ่งที่เราจะต้องใช้บริโภค อาหารที่เราบริโภคกันอยู่ในทุกวันนี้อาจมีสิ่งเป็นพิษแปลกปลอมปนมาได้ โดยความบังเอิญหรือโดยความจงใจ
การใช้สารมีพิษเพื่อการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ความสนใจในโทษของสารเคมีที่ใช้ในการปราบศัตรูพืชยังมีน้อยมาก ในประเทศไทย วัตถุมีพิษที่ใช้ในกิจการดังกล่าวส่วนใหญ่สั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ที่นิยมใช้กันอยู่มีประมาณ 100 กว่าชนิด วัตถุมีพิษเหล่านี้ผสมอยู่ในสูตรต่าง ๆ มากกว่า 1,000 สูตร เมื่อมีการใช้วัตถุมีพิษอย่างแพร่หลายมากเช่นนี้ สารมีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม และสารมีพิษตกค้างในอาหาร ซึ่งทำให้ทั้งคนและสัตว์ได้รับอันตราย จึงปรากฎมากขึ้น จากการวิเคราะห์ตัวอย่างต่าง ๆ พบว่า ปริมาณสารมีพิษประเภทยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ที่ตกค้างในน้ำและในสัตว์น้ำมีแนวโน้มของการสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าบางกรณีปริมาณวัตถุมีพิษที่สะสมอยู่ในสัตว์น้ำที่ประชาชนใช้บริโภคอยู่ จะมีค่าต่ำกว่ามาตรฐานที่บางประเทศกำหนดไว้ก็ตาม หากคิดว่าโดยปกติคนไทยจะนิยมบริโภคสัตว์น้ำเป็นอาหารหลักด้วยแล้ว ปัญหานี้ก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอันตรายมาก

ที่มาของข้อมูล:http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsithamrat/arunee_w/cheevit/sec00p03.html


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบนิเวศ




Posted by Taweesak on Aug 10, '09 3:04 AM for everyone





ความหมายของคำต่างๆ ในระบบนิเวศ


ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่ง (นิเวศวิทยา หรือศัพท์ในภาษาอังกฤษ คือ Ecology มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คำ คือ Oikos แปลว่า บ้าน, ที่อยู่อาศัย และ Logos แปลว่า เหตุผล, ความคิด)


สิ่งมีชีวิต (Organism) หมายถึง สิ่งที่ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือ ต้องมีการเจริญเติบโต, เคลื่อนไหวได้ด้วยพลังงานที่เกิดขึ้นในร่างกาย, สืบพันธุ์ได้, สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม, มีการขับถ่ายของเสีย และต้องกินอาหารหรือแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น


ประชากร (Population) หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เป็นชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง


กลุ่มสิ่งมีชีวิต (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตนั้นๆ มีความสัมพันธ์กัน โดยตรงหรือโดยทางอ้อม


ชีวภาคหรือโลกของสิ่งมีชีวิต (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน


แหล่งที่อยู่ (Habitat) หมายถึง บริเวณ หรือสถานที่ที่ใช้สำหรับผสมพันธุ์วางไข่ เป็นแหล่งที่อยู่ เช่น บ้าน สระน้ำ ซอกฟัน ลำไส้เล็ก


สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง สิ่งที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตหรือ ดำรงชีวิตได้ดีหรือไม่ หรืออาจหมายถึงสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต


ชีวนิเวศ (Biomes) หมายถึง ระบบนิเวศใดก็ตามที่มีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางชีวภาพที่คล้ายคลึงกันกระจายอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ต่างกัน


พื้นที่ผิวของโลก รวมทั้งมหาสมุทร และบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต เราเรียกว่า ชีวภาค (Biosphere) โลกของสิ่งมีชีวิตถือว่าเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในส่วนต่างๆของโลกมีระบบนิเวศหลายประเภท แต่อาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ระบบนิเวศธรรมชาติและระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น


1. ระบบนิเวศธรรมชาติ เป็นระบบนิเวศที่ธรรมชาติมีบทบาทในกระบวนการต่างๆและต้องพึ่งพาพลังงานจากดวงอาทิตย์เพื่อใช้ในกระบวนการทำงาน แบ่งออกเป็น 2 ระบบย่อยคือ ระบบนิเวศบนดิน และระบบนิเวศแหล่งน้ำ


ที่มาของข้อมูล:http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=little_lovely&club_id=754&table_id=1&cate_id=984&post_id=12866


1.1 ระบบนิเวศบนดิน (Terrestrial ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีส่วนประกอบและกระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นบนพื้นดิน มีลักษณะต่างกันตามสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ระดับความสูงจากน้ำทะเล


1.2 ระบบนิเวศแหล่งน้ำ (Aquatic ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่ประกอบไปด้วยกระบวนการทำงานและส่วนต่างๆที่เกิดขึ้นในแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากระบบนิเวศบนดิน สภาพแวดล้อมทางน้ำเป็นตัวกำหนดชนิดของระบบนิเวศแหล่งน้ำ


2. ระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมหรือทดแทนธรรมชาติในกระบวนการต่างๆ โดยจำแนกออกเป็น 2 ระบบนิเวศย่อยคือ ระบบนิเวศกึ่งธรรมขาติหรือระบบนิเวศชนบท-เกษตรกรรม และระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม


2.1 ระบบนิเวศกึ่งธรรมขาติ หรือระบบนิเวศชนบท-เกษตรกรรม เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต การหมุนเวียนของพลังงานและสารอาหาร เช่น การเพาะปลูกในพื้นที่ต่างๆ ตัวอย่างของระบบนิเวศนี้ ได้แก่ การเพาะปลูกในพื้นที่ต่างๆ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ บ่อ บ่อเลี้ยงปลา ตู้เลี้ยงปลา เป็นต้น (มนุษย์เป็นผู้ควบคุมปัจจัยทางกายภาพ เช่น การให้ปุ๋ย การชลประทาน)








2.2 ระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมหรือแทนที่ โดยนำเอาวัตถุดิบจากระบบนิเวศธรรมชาติและจากระบบนิเวศกึ่งธรรมชาติมาแปรสภาพให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีลักษณะต่างไปจากเดิม เพื่อใช้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ตัวอย่างขององค์ประกอบในระบบนิเวศนี้ ได้แก่ อาคาร ตลาด สนามเด็กเล่น วัด โรงพยาบาล ห้องสมุด สวนสาธารณะ สวยสัตว์ เป็นต้น (มนุษย์ควบคุมการถ่ายทอดพลังงานสารอาหารเป็นไปอย่างมีระบบ)


นอกจากนี้เราอาจจำแนกระบบนิเวศโดยอาศัยเกณฑ์ต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่


1. การจำแนกระบบนิเวศตามลักษณะการถ่ายเทพลังงานในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น


1. ระบบนิเวศอิสระ (Isolate ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่พลังงานและสารอาหารเคลื่อนย้ายและหมุนเวียนอยู่เฉพาะภายในระบบ ไม่มีการเคลื่อนย้ายและหมุนเวียนกับระบบอื่นภายนอก


2. ระบบนิเวศปิด (Closed ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีการเคลื่อนย้ายและหมุนเวียนเฉพาะพลังงานระหว่างภายในและภายนอกระบบ เช่น กรณีของอ่าง หรือ ตู้เลี้ยงปลา


3. ระบบนิเวศเปิด (Open ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่ปรากฏในธรรมชาติทั่วไป โดยเคลื่อนย้ายและหมุนเวียนของพลังงานและสารอาหารระหว่างภายในและภายนอกระบบนิเวศ








2. การจำแนกระบบนิเวศตามขนาดของระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น


1. ระบบขนาดเล็ก เช่น ระบบนิเวศในสระน้ำ ใต้ขอนไม้ นาข้าว กระป๋องน้ำ ตู้ปลา เป็นต้น


2. ระบบขนาดใหญ่ เช่น แหล่งน้ำจืด ทะเลสาบ ทะเล ป่าชายเลน มหาสมุทร เป็นต้น


ที่มาของข้อมูล:http://sci3.multiply.com/journal/item/1


 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการกิน ตัวอย่างเช่น ห่วงโซ่อาหาร 3 กลุ่ม


ปรับปรุงจาก Marsh & Grossa, 2002, p. 82.





2. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน มนุษย์อาศัยความสัมพันธ์นี้ในการเกษตรกรรม



3. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบอาศัยฝ่ายเดียว ตัวอย่างเช่น เกาะสุนัขที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมในภาคกลาง
ที่มา (เกาะสุนัข- พุทธมณฑล, 2546) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน มนุษย์อาศัยความสัมพันธ์นี้ในการเกษตรกรรม





4. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบเกาะกินภายนอกร่างกายของผู้ถูกเกาะกิน ตัวอย่างเช่น เหาบนหัวมนุษย์


ที่มา (กวงคุง, 2550)






5. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบเกาะกินหรือปรสิต ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงอายุ 7 ขวบที่จังหวัดเชียงรายในภาคเหนือถูกปลิงยาวประมาณ 1 นิ้ว เกาะดูดเลือดบริเวณลำคอ


ที่มา (ปลิงมฤตยูเกาะดูดเลือดเหยื่อไม่เลือกที่, 2548)





6.ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบเกาะกินภายในร่างกายผู้ถูกเกาะกิน ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยชาวเวียดนามติดเชื้อไวรัสจากไก่ ซึ่งมีอาการปอดถูกทำลาย และแผนที่แสดงการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในทวีปเอเชีย


ที่มา (วีระชัย ศักดาจิวะเจริญ, ม.ป.ป.) (แอปเพนเซลเลอร์, 2548, 107-110)







7. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบผู้ล่าและเหยื่อ ตัวอย่างเช่น เจ้าของนาเกลือจังหวัดอุดรธานีจับปลากะพงในบ่อเก็บน้ำกร่อยหลังการทำนกลอ
ที่มา (เริงฤทธิ์ คงเมือง, 2552, 138)



8. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบผู้ล่าและเหยื่อ ตัวอย่างเช่น ยุงเอเดสเอยิปตีพาหะนำเชื้อโรคไข้เหลือง มนุษย์ควบคุมจำนวนให้เป็นเหยื่อยุงอื่น


ที่มา (วรวุฒิ เจริญศิริ, 2548)





9. ผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อระบบนิเวศธรรมชาติจากการสูญเสียพื้นที่ของระบบนิเวศ ตัวอย่างเช่น นายวรศักดิ์ วิทยาเมธีวงศ์ อายุ 56 ปี ชาวนครสวรรค์ และนายสนั่น แก้วดี อายุ 38 ปีหมู่ที่ 2 ตำบลอาโพน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์2 ลักลอบส่งไม้พะยูงไปจีน


ที่มา (จับไม้พะยูงล็อตใหญ่, 2550, หน้า 1)





10.ผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อระบบนิเวศธรรมชาติจากการสูญเสียพื้นที่ของระบบนิเวศ เป็นแผนที่แสดงแดนวิกฤตระบบนิเวศธรรมชาติของโลกในทวีปเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และโอเชียนเนีย


ที่มา (วิลสัน, 2545, 133)





11. ผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อระบบนิเวศธรรมชาติจากการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น คนงานชาวทมิฬกำลังเก็บใบชาบนลาดเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นระบบนิเวศป่าดิบ ป่าดิบปะปนทุ่งหญ้าที่รัฐเกรละ ประเทศอินเดียในภูมิภาคเอเชียใต้


ที่มา (เวิร์ด, 2545, 138-139)







12.ผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อระบบนิเวศธรรมชาติจากการทำให้พื้นที่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขาดเป็นส่วนๆไม่ต่อเนื่องกัน ตัวอย่างเช่น การเกษตรกรรม

ปรับปรุงจาก Marsh & Grossa, 2002, p. 349



13.ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกระบวนการสนับสนุนการดำเนินชีวิต ตัวอย่างเช่น น้ำในวัฏจักรน้ำ

ที่มา (สกว., 2548)







14. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกระบวนการคุกคามการดำเนินชีวิต ตัวอย่างเช่น ทอร์นาโด รัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกาในทวีปอเมริกาเหนือ


ที่มา (ทอร์นาโด, 2547)







15. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกระบวนการคุกคามการดำเนินชีวิต ตัวอย่างเช่น พายุเฮอร์ริเคนถล่มรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาในทวีปอเมริกาเหนือหลายลูก และสภาพบ้านพังเพราะคลื่นซัดฝั่งจากพายุเฮอร์ริเคน

ที่มา (แคร์รอลล์, 2548, 60-65)







16.ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตจากไฟป่า ตัวอย่างเช่น ไฟป่าที่ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ในภาคเหนือ


ที่มา (ดูจะจะ สงครามฝุ่นเชียงใหม่, 2550)








17.แผนที่จังหวัดเสี่ยงภัยไฟป่าในประเทศไทย


18. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่มองไม่เห็น ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงชาวจีนใกล้ทะเลทรายโกบีในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาศัยในบ้านก่อด้วยอิฐโคลน ใช้แผงกระจกรับแสงอาทิตย์ในการหุงข้าวและชงชา


ที่มา (เว็บสเตอร์, 2545, 103)







19. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่มองไม่เห็น ตัวอย่างเช่น พิธีแกลมอหรือพิธีบำบัดผู้ป่วยของชาวกูย จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2548 ตามความเชื่อที่ว่าสาเหตุเกิดจากการกระทำของผี


ที่มา (เริงฤทธิ์ คงเมือง, 2549, 68-72)







20. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่มองไม่เห็น ตัวอย่างเช่นชาวมุสลิมร่วมกันทำละหมาดในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขามาจากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก


ที่มา (เบลต์, 2545, 126)





21.ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบแบบพึ่งพาอาศัยกัน ตัวอย่างเช่น ช้างและควาญเล่นน้ำในลำห้วยของศูนย์บริบาลช้าง จังหวัดเชียงใหม่ในภาคเหนือ


ที่มา (แซดวิก, 2548, 56)


22. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจากการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ตัวอย่างเช่นฝูงอูฐในทะเลทรายโกบีระหว่างประเทศจีนกับมองโกเลียในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อูฐเหล่านี้แบกของหนักได้ถึง 200 กก. และอดน้ำได้หลายวัน

ที่มา (เว็บสเตอร์, 2545, 101)


ที่มาของข้อมุล: http://envisurin.blogspot.com/2009/11/blog-post.html


ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม


ปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของชีวิตคือสสารและพลังงาน ซึ่งไม่มีชีวิตใดสร้างขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ที่มาของสสารและพลังงานมาจากสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันชีวิตก็ไม่สามารถเก็บสสารและพลังงานนั้นเอาไว้ในตัวได้ตลอดเวลา ดังนั้นชีวิตจึงจำเป็นต้องถ่ายเทสสารและพลังงานออกจากตัวซึ่งก็เข้าสู่สิ่งแวดล้อมอีกเช่นกัน ดังนั้นชีวิตทั้งมวลซึ่งรวมถึงมนุษย์จึงไม่สามารถดำรงอยู่โดยปราศจากสิ่งแวดล้อมที่จะรองรับการถ่ายเทสสารและพลังงานเอาไว้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ชีวิตต่างๆ ต้องมีการปรับตัวเพื่อการอยู่รอด ซึ่งมีผลต่อการวิวัฒนาการของชีวิตในที่สุด (จิรากรณ์ คชเสนี, 2549 : 7)


สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ล้วนมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อความเป็นอยู่ การอยู่รอด และมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ รวมทั้งวิธีจัดการกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา สภาพลมฟ้าอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะสิ่งแวดล้อมจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบ การกระจายผลผลิตของสังคมพืชและสัตว์ ซึ่งส่งผลสะท้อนไปถึงชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์มากที่สุด โดยจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในแต่ละยุค แต่ละสมัย ขึ้นอยู่กับลักษณะสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป


มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์กันเป็นวงจรไม่สามารถที่จะบอกได้ชัดเจนว่าสิ่งใดมีอิทธิพลต่อสิ่งใดมากกว่ากัน สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของมนุษย์และกิจกรรมของมนุษย์ก็เป็นตัวการสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลกระทบต่อของมนุษย์ให้เปลี่ยนแปลงอีกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต (ภาณี คูสุวรรณ์ และศจีพร สมบูรณ์ทรัพย์, 2542 : 4)


สรุปฉบับความคิดของเจ้าตัว ได้ดังนี้ มนุษย์เกิดจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้นมนุษย์จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งแวดล้อมกลายเป็นส่วนหนึ่งโดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มนุษย์มีบทบาทมากในการกำหนดความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการการนำมาใช้ การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น รวมถึงทำลายเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ล้วนมีผลกระทบที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น แต่มนุษย์หารู้ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมที่อยู่รายล้อมพวกเขานั้นถูกกำหนดให้สัมพันธ์กันในทุก ๆ ด้าน เหมือนเป็นกระจกสะท้อนผลการกระทำของตัวเราเองด้วยซ้ำ หรือมองอีกในแง่ของธรรมะก็อาจเปรียบได้ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็คงไม่ผิด ยกตัวอย่างเช่น การทำลายป่าไม้ของมนุษย์ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา จากสถิติของกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่มีปีใดเลยที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นหรืออยู่ในปริมาณคงที่ แต่ลดลงอย่างน่าใจหาย ผลที่ตามมาก็คือ น้ำท่วม ดินถล่ม อากาศเสีย ฯลฯ บางกรณีอาจจะน้อยแต่ก็มีส่วน อีกตัวอย่างคือ การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ยิ่งเศรษฐกิจดีเท่าไร โรงงานอุตสาหกรรมยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะมีมาตรการควบคุมควันพิษ และน้ำทิ้งจากโรงงาน แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อยู่ดี เช่นน้ำมีมลสาร อากาศมีมลสาร เป็นต้น


ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแต่ถูกสะสมมาเป็นสิบสิบปีหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่มนุษย์ก็หลีกเลี่ยงการพัฒนาไม่ได้ อาจจะเพื่อระดับความเป็นอยู่ หรือความสะดวกสบาย ก็แล้วแต่กรณีต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ได้ละเลยผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ยังมีหลายกลุ่มหลายหน่วยงานที่มองเห็นและกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นและได้ปฏิบัติทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในที่สุดแล้วกลุ่มคนส่วนใหญ่ละเลยและมองข้ามปัญหาเหล่านี้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่และคิดว่าตัวเองเป็นเพียงคนคนนึงคงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่หารู้ไม่ว่ากลุ่มคนส่วนน้อยจะรวมเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ถ้าทุกคนทำ ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็จะบรรเทาลง หรือจะรอให้ธรรมชาติปับตัวของมันเอง เมื่อถึงวันนั้น ชีวิตคงเริ่มต้นจาก 1 ใหม่ (ยุคสร้างโลก)

ที่มาของข้อมูล:http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=little_lovely&club_id=754&table_id=1&cate_id=984&post_id=12866


อิทธิพลของมนุษย์ต่อความมั่นคงของระบบนิเวศ

ในสมัยก่อนที่ประชากรของมนุษย์บนโลกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อยนั้น การดำเนินชีวิตของมนุษย์ไม่ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างไร แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาวิถีชีวิตด้วยเทคโนโลยีให้มีความเป็นอยู่สุขสบายดี การบุกรุกสภาพสมดุลของธรรมชาติจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะทำให้ระบบนิเวศในโลกนี้เป็นระบบนิเวศที่ธรรมดา โดยเฉพาะการเกษตรในปัจจุบันได้พยายามลดระดับต่าง ๆ ในห่วงโซ่อาหารให้เหลือน้อยที่สุด โดยการกำจัดพืชและหญ้าหลายชนิดไปเพื่อพืชชนิดเดียว เช่น ข้าวสาลี หรือข้าวโพด ซึ่งทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ความมั่นคงระบบนิเวศลดน้อยลง หากมีโรคระบาดเกิดขึ้น โอกาสที่ระบบนิเวศจะถูกทำลายก็จะมีมาก นอกจากนั้น บริเวณการเกษตรทั่วโลกก็นับเป็นบริเวณที่ระบบนิเวศถูกทำลายมาก ทั้งนี้เพราะมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชกันอย่างแพร่หลาย สารพิษที่เกิดจากการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตระดับสูง ๆ ได้ตามห่วงโซ่อาหาร จึงมักสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตในปริมาณที่เข้มข้นกว่าที่มีในสิ่งแวดล้อมเสมอ ดังตัวอย่างของการใช้ DDT เมื่อมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชในบริเวณที่หนึ่ง DDT ซึ่งเป็นส่วนผสมของยากำจัดศัตรูพืชนั้น จะตกค้างอยู่ในดินถูกชะล้างลงในแม่น้ำและสะสมอยู่ในแพลงค์ตอน เมื่อสัตว์น้ำชนิดอื่น เช่น ปลามากินแพลงค์ตอน DDT ก็จะเข้าไปสะสมในตัวปลาเป็นปริมาณมากกว่าที่อยู่ในแพลงค์ตอนและเมื่อนกซึ่งกินปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ เข้าไป ก็จะสะสมไว้ในปริมาณสูง เมื่อสัตว์อื่นมากินนกก็ยิ่งจะทำให้การสะสม DDT ในตัวมันสูงมากขึ้นไปอีก ถ้า DDT สูงขึ้นถึงขีดอันตรายก็จะทำให้สัตว์ตายได้หรือไม่ก็ผิดปกติ DDT ส่วนใหญ่จะสะสมในเนื้อเยื่อไขมันและขัดขวางการเกาะตัวของ แคลเซี่ยมที่เปลือกไข่ทำให้ไข่บางแตกง่ายและไม่สามารถฟักออกเป็นตัวได้มีรายงานว่าในประเทศสวีเดน และในประเทศญี่ปุ่นมีนกบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากผลกระทบสะสมตัวของ DDT การพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดผลเสียหายร้ายแรง ทั้งต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนทำให้เกิดบริเวณน้ำขังจำนวนมหาศาลอาจทำให้เกิดการระบาดของโรคเนื่องจากพาหะของโรคนั้นสามารถเติบโตได้ดีในบริเวณน้ำนิ่ง



ปัจจุบันปะการังได้ถูกทำลาย เนื่องจากกิจกรรมการท่องเที่ยว วิธีการที่จะดำเนินการฟื้นฟูวิธีการหนึ่ง โดยการสร้างปะการังเทียม โดยนำยางรถยนต์ไปไว้ใต้ทะเลให้ปะการังอาศัยเกาะอยู่ เพื่อให้มีส่วนปรับระบบนิเวศในท้องทะเล

ชีวาลัย (Biosphere) เป็นส่วนหนึ่งของโลก ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ได้แก่ บริเวณที่เป็นมหาสมุทรน้ำจืด บรรยากาศและชั้นดินบางส่วนมีผู้เปรียบเทียบว่าถ้าให้โลกของเราสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น ชีวาลัย (Biosphere) จะมีความหนาเพียงครึ่งเท่านั้นซึ่งแสดงว่าบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้นั้นบางมาก ทรัพยากรธรรมชาติจึงมีจำกัดเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ มนุษย์เองเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของชีวาลัยซึ่งยังต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม ในชีวาลัย เพื่อมีชีวิตรอดมนุษย์อาจจะเปลี่ยนหรือทำลายระบบนิเวศระบบใดได้ แต่มนุษย์จะไม่สามารถทำลายชีวาลัยได้ เพราะเท่ากับเป็นการทำลายตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องนิเวศวิทยา จึงเป็นการทำให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงฐานะ และหน้าที่ของตัวเองว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น การกระทำใด ๆ ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมมีผลเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในระบบด้วยเช่นเดียวกับที่มีผลต่อมนุษย์เอง ดังนั้นเราจึงควรตระหนักว่าในการพัฒนาใด ๆ ของมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็นวัตถุดิบนั้นเราจะต้องคำนึงถึงปัญหาการเสียสมดุลทางนิเวศวิทยาด้วย เพื่อไม่ให้การพัฒนานั้นย้อนกลับมาสร้างปัญหาต่อมนุษย์เองไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาวะมลพิษหรือการขาดแคลนทรัพยากรในอนาคต ที่มาของข้อมูล:http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi1/ecosystem/b7.htm
อิทธิพลของมนุษย์ต่อความมั่นคงของระบบนิเวศ


ในสมัยก่อนที่ประชากรของมนุษย์บนโลกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อยนั้น การดำเนินชีวิตของมนุษย์ไม่ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างไร แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาวิถีชีวิตด้วยเทคโนโลยีให้มีความเป็นอยู่สุขสบายดี การบุกรุกสภาพสมดุลของธรรมชาติจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะทำให้ระบบนิเวศในโลกนี้เป็นระบบนิเวศที่ธรรมดา โดยเฉพาะการเกษตรในปัจจุบันได้พยายามลดระดับต่าง ๆ ในห่วงโซ่อาหารให้เหลือน้อยที่สุด โดยการกำจัดพืชและหญ้าหลายชนิดไปเพื่อพืชชนิดเดียว เช่น ข้าวสาลี หรือข้าวโพด ซึ่งทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ความมั่นคงระบบนิเวศลดน้อยลง หากมีโรคระบาดเกิดขึ้น โอกาสที่ระบบนิเวศจะถูกทำลายก็จะมีมาก นอกจากนั้น บริเวณการเกษตรทั่วโลกก็นับเป็นบริเวณที่ระบบนิเวศถูกทำลายมาก ทั้งนี้เพราะมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชกันอย่างแพร่หลาย สารพิษที่เกิดจากการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตระดับสูง ๆ ได้ตามห่วงโซ่อาหาร จึงมักสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตในปริมาณที่เข้มข้นกว่าที่มีในสิ่งแวดล้อมเสมอ ดังตัวอย่างของการใช้ DDT เมื่อมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืชในบริเวณที่หนึ่ง DDT ซึ่งเป็นส่วนผสมของยากำจัดศัตรูพืชนั้น จะตกค้างอยู่ในดินถูกชะล้างลงในแม่น้ำและสะสมอยู่ในแพลงค์ตอน เมื่อสัตว์น้ำชนิดอื่น เช่น ปลามากินแพลงค์ตอน DDT ก็จะเข้าไปสะสมในตัวปลาเป็นปริมาณมากกว่าที่อยู่ในแพลงค์ตอนและเมื่อนกซึ่งกินปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ เข้าไป ก็จะสะสมไว้ในปริมาณสูง เมื่อสัตว์อื่นมากินนกก็ยิ่งจะทำให้การสะสม DDT ในตัวมันสูงมากขึ้นไปอีก ถ้า DDT สูงขึ้นถึงขีดอันตรายก็จะทำให้สัตว์ตายได้หรือไม่ก็ผิดปกติ DDT ส่วนใหญ่จะสะสมในเนื้อเยื่อไขมันและขัดขวางการเกาะตัวของ แคลเซี่ยมที่เปลือกไข่ทำให้ไข่บางแตกง่ายและไม่สามารถฟักออกเป็นตัวได้มีรายงานว่าในประเทศสวีเดน และในประเทศญี่ปุ่นมีนกบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากผลกระทบสะสมตัวของ DDT การพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดผลเสียหายร้ายแรง ทั้งต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนทำให้เกิดบริเวณน้ำขังจำนวนมหาศาลอาจทำให้เกิดการระบาดของโรคเนื่องจากพาหะของโรคนั้นสามารถเติบโตได้ดีในบริเวณน้ำนิ่ง



ปัจจุบันปะการังได้ถูกทำลาย เนื่องจากกิจกรรมการท่องเที่ยว วิธีการที่จะดำเนินการฟื้นฟูวิธีการหนึ่ง โดยการสร้างปะการังเทียม โดยนำยางรถยนต์ไปไว้ใต้ทะเลให้ปะการังอาศัยเกาะอยู่ เพื่อให้มีส่วนปรับระบบนิเวศในท้องทะเล

ชีวาลัย (Biosphere) เป็นส่วนหนึ่งของโลก ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ได้แก่ บริเวณที่เป็นมหาสมุทรน้ำจืด บรรยากาศและชั้นดินบางส่วนมีผู้เปรียบเทียบว่าถ้าให้โลกของเราสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น ชีวาลัย (Biosphere) จะมีความหนาเพียงครึ่งเท่านั้นซึ่งแสดงว่าบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้นั้นบางมาก ทรัพยากรธรรมชาติจึงมีจำกัดเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ มนุษย์เองเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของชีวาลัยซึ่งยังต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม ในชีวาลัย เพื่อมีชีวิตรอดมนุษย์อาจจะเปลี่ยนหรือทำลายระบบนิเวศระบบใดได้ แต่มนุษย์จะไม่สามารถทำลายชีวาลัยได้ เพราะเท่ากับเป็นการทำลายตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องนิเวศวิทยา จึงเป็นการทำให้มนุษย์ได้เข้าใจถึงฐานะ และหน้าที่ของตัวเองว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น การกระทำใด ๆ ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมมีผลเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในระบบด้วยเช่นเดียวกับที่มีผลต่อมนุษย์เอง ดังนั้นเราจึงควรตระหนักว่าในการพัฒนาใด ๆ ของมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็นวัตถุดิบนั้นเราจะต้องคำนึงถึงปัญหาการเสียสมดุลทางนิเวศวิทยาด้วย เพื่อไม่ให้การพัฒนานั้นย้อนกลับมาสร้างปัญหาต่อมนุษย์เองไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาวะมลพิษหรือการขาดแคลนทรัพยากรในอนาคต ที่มาของข้อมูล:http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi1/ecosystem/b7.htm


คลิ๊กดูรูปคลิ๊กดูรูป              ขอบคุณครับ